รายงานพิเศษ

   เมื่อ : 7 มี.ค. 2568

วิเคราะห์ราคากุ้งไทยเปรียบเทียบกับคู่แข่ง

จากตารางราคากุ้งขาวแสดงราคาขายกุ้งตามขนาด (ตัว/กก.) ในประเทศต่างๆ ณ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568


วิเคราะห์ข้อมูล:


1. เปรียบเทียบราคากุ้งระหว่างประเทศ


-กุ้งไทย มีราคาสูงกว่าหลายประเทศ เช่น ขนาด 100 ตัว/กก. ราคา 130.79 บาท สูงกว่าของอินโดนีเซีย (108.25 บาท) และมาเลเซีย (100.81 บาท)


-อินเดีย มีราคาต่ำสุดในเกือบทุกขนาด เช่น ขนาด 100 ตัว/กก. ราคาเพียง 98.72 บาท


-เวียดนาม มีราคาค่อนข้างสูง โดยเฉพาะขนาด 90 ตัว/กก. ที่ 146.31 บาท


-มาเลเซีย มีราคากลางๆ เมื่อเทียบกับไทยและอินโดนีเซีย


2. ประเทศที่มีราคาสูงสุดและต่ำสุด


-ราคาสูงสุด: ในขนาด 20 ตัว/กก. เวียดนาม มีราคาสูงสุดที่ 344.67 บาท


-ราคาต่ำสุด: อินเดียมีราคาถูกสุดในหลายขนาด เช่น 100 ตัว/กก. ที่ 98.72 บาท


3. ค่าเงินและอัตราแลกเปลี่ยน


ณ วันที่บันทึกข้อมูล ค่าเงินอยู่ที่ 33.88 บาท/USD ซึ่งมีผลต่อราคาการส่งออกและนำเข้าของแต่ละประเทศ


สรุป


✅️ประเทศไทยมีราคากุ้งสูงกว่าหลายประเทศ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอินเดียและอินโดนีเซีย


✅️เวียดนามมีราคาสูงมากในบางขนาด เช่น 20 ตัว/กก. ซึ่งอาจสะท้อนถึงคุณภาพหรือความต้องการในตลาด


✅️อินเดียเสนอราคาถูกสุดในหลายช่วงขนาด อาจเป็นเพราะต้นทุนการผลิตต่ำกว่าประเทศอื่น



วิเคราะห์ข้อมูลในมุมมองเชิงลึก


1. วิเคราะห์ต้นทุนการผลิตและการแข่งขันในตลาด


-อินเดียมีราคาต่ำสุดในหลายช่วงขนาด นั่นอาจบ่งบอกว่าอินเดียมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า เช่น ค่าแรงที่ถูกกว่า ต้นทุนอาหารสัตว์ที่ต่ำกว่า หรือปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้สามารถขายได้ในราคาถูกกว่าคู่แข่ง


-เวียดนามมีราคาสูงในขนาดกุ้งใหญ่ เช่น ขนาด 20 ตัว/กก. ราคา 344.67 บาท สูงกว่าทุกประเทศ อาจแสดงถึงความต้องการในตลาดเวียดนามที่สูง หรือเวียดนามอาจมีการผลิตกุ้งคุณภาพสูงเพื่อตลาดพรีเมียม


2. วิเคราะห์โอกาสในการแข่งขันของไทย


-ไทยมีราคาสูงกว่าหลายประเทศ โดยเฉพาะอินเดียและอินโดนีเซีย


-อาจส่งผลให้ไทยแข่งขันยากขึ้นในการส่งออก ถ้าตลาดให้ความสำคัญกับราคา


-อย่างไรก็ตาม ถ้าไทยสามารถชูจุดเด่นเรื่องคุณภาพกุ้งที่ดีขึ้น (เช่น มาตรฐานการผลิต การใช้เทคโนโลยีการเลี้ยง) อาจช่วยให้แข่งขันในตลาดพรีเมียมได้


-ตลาดในประเทศไทยเองก็มีราคาสูง แสดงว่าความต้องการบริโภคภายในประเทศยังสูง


3. วิเคราะห์ผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้ส่งออก


-ผู้ผลิตกุ้งไทยอาจต้องเผชิญแรงกดดันจากราคาคู่แข่ง โดยเฉพาะจากอินเดียที่มีราคาถูกกว่ามาก


-ราคาสูงในตลาดเวียดนามและมาเลเซีย อาจเป็นโอกาสในการขยายตลาดส่งออก ถ้าไทยสามารถเพิ่มการผลิตกุ้งคุณภาพสูงและจับตลาดพรีเมียม


-อัตราแลกเปลี่ยนที่ 33.88 บาท/USD อาจมีผลกระทบต่อราคาส่งออกของไทย ถ้าเงินบาทแข็งค่าจะทำให้กุ้งไทยแพงขึ้นในตลาดโลก


4. วิเคราะห์แนวโน้มตลาดกุ้งในอนาคต


-หากแนวโน้มราคายังคงเป็นแบบนี้ อาจเห็น การแข่งขันด้านต้นทุนและคุณภาพเพิ่มขึ้น


-อินเดียอาจครองตลาดกุ้งราคาถูก ในขณะที่เวียดนามและไทยอาจเน้นตลาดพรีเมียม


-เทคโนโลยีการเลี้ยง เช่น การใช้ AI ในฟาร์มกุ้ง หรือการพัฒนาอาหารกุ้งที่ต้นทุนต่ำ อาจช่วยให้ไทยลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันได้



ข้อเสนอแนะ


1. ผู้ผลิตไทยควรพัฒนาเทคโนโลยีการเลี้ยงกุ้ง ลดต้นทุนให้แข่งขันได้กับอินเดียและอินโดนีเซีย


2. เน้นตลาดพรีเมียม เช่น การเลี้ยงกุ้งออร์แกนิก หรือกุ้งคุณภาพสูง เพื่อจับตลาดที่ยอมจ่ายแพง


3. ขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศที่ราคาสูง เช่น เวียดนามหรือมาเลเซีย


4. ติดตามอัตราแลกเปลี่ยน เพราะค่าเงินบาทมีผลต่อราคาส่งออกกุ้ง


สรุปแบบนี้ค่ะ

ไทยมีศักยภาพในการแข่งขันอยู่นะ แต่ต้องเลือกระหว่างลดต้นทุนลงเพื่อสู้กับอินเดีย เอกวาดอร์ หรือเน้นตลาดพรีเมียม แต่ดูแล้วการลดต้นทุนเพื่อไปแข่งขันไม่น่าใช่ทางออกสำหรับชาวกุ้งไทย เพราะค่าไฟ ค่าอาหารก็แพงโหดอยู่แล้ว ดังนั้นการทำตลาดพรีเมี่ยมจึงคือโอกาส หากเรามาร่วมมือร่วมใจกัน ทำกุ้งไทยให้ปลอดสารตกค้าง เราสู้ได้แน่


-เวียดนามเป็นตลาดที่น่าสนใจ เพราะราคากุ้งสูง บางทีก็คิดว่า เมื่อเราขายกุ้งเองไม่ได้ ไม่มีออเดอร์ ก็ส่งวัตถุดิบบางส่วนให้เวียดนามขายบ้างก็ดีเหมือนกัน


-อัตราแลกเปลี่ยนและต้นทุนการผลิตจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อแนวโน้มราคากุ้งในอนาคต



เหตุผลที่ราคากุ้งของไทยสูงกว่าคู่แข่ง


1. ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นในไทย


1.1 ค่าแรงงานสูงกว่าประเทศคู่แข่ง

ค่าแรงขั้นต่ำในไทยสูงกว่าอินเดียและอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีต้นทุนค่าแรงต่ำ การเลี้ยงกุ้งต้องใช้แรงงานจำนวนมาก ทั้งในฟาร์มและกระบวนการแปรรูป ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น


1.2 ต้นทุนอาหารกุ้งสูง


ไทยต้องนำเข้า วัตถุดิบอาหารกุ้ง เช่น ปลาป่นจากต่างประเทศ ซึ่งมีราคาสูง คู่แข่งบางประเทศ เช่น อินเดีย มีแหล่งวัตถุดิบในประเทศ ทำให้ต้นทุนถูกกว่า


1.3 ต้นทุนการควบคุมโรคและมาตรฐานการเลี้ยง


ไทยมีกฎระเบียบด้านสุขอนามัยและมาตรฐานการผลิตที่เข้มงวด เช่น GAP (Good Aquaculture Practices) ทำให้ต้องใช้ต้นทุนสูงกว่าในการดูแลคุณภาพกุ้ง


ต้องหาหลากหลายเครื่องมือ และสารต่างๆ มาควบคุม เพื่อเพิ่มมาตรการป้องกันโรคกุ้ง เช่น โรค EMS (Early Mortality Syndrome) ทำให้เป็นการเพิ่มต้นทุน


2. คุณภาพและมาตรฐานการผลิตสูงขึ้น


2.1 กุ้งไทยมีมาตรฐานสูงและปลอดภัยกว่า


กุ้งไทยถูกควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดเพื่อให้ส่งออกไปยังตลาดหลัก เช่น สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป


ไทยต้องใช้มาตรฐานที่สูงกว่าหลายประเทศ เช่น การตรวจสารตกค้างและสารต้องห้าม ซึ่งเพิ่มต้นทุนของทุกภาคส่วนรวมถึงเกษตรกร


2.2 การใช้เทคโนโลยีการเลี้ยงสมัยใหม่


-ไทยใช้ระบบเลี้ยงกุ้งแบบใหม่ ที่จะมาช่วยลดการใช้สารเคมี แต่ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น


-การใช้ IoT และ AI ในการควบคุมคุณภาพน้ำและอาหาร เพิ่มประสิทธิภาพแต่ก็มีต้นทุนแรกเริ่มสูง เช่นกัน


3. ไทยมีการบริโภคภายในประเทศสูง ทำให้ราคาสูงตาม


-ไทยเป็นประเทศที่มีการบริโภคกุ้งสูง ทั้งในภาคครัวเรือนและอุตสาหกรรมอาหาร รวมถึงการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ทำให้ราคากุ้งไม่ผันผวนมาก


-ความต้องการกุ้งในประเทศสูงขึ้น ทำให้ราคายังคงสูงกว่าประเทศที่เน้นส่งออกอย่างอินเดีย


4. ปัจจัยด้านเศรษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยน


ค่าเงินบาทที่แข็งค่ากว่าอินเดียหรืออินโดนีเซีย ทำให้ราคากุ้งไทยแพงขึ้นในตลาดโลก


ค่าไฟฟ้าและต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นในไทย กระทบต้นทุนการเลี้ยงกุ้งโดยตรง


5. ปัจจัยด้านการส่งออกและการค้าโลก


ไทยส่งออกกุ้งไปตลาดพรีเมียม เช่น สหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งต้องมีมาตรฐานสูงกว่า และสามารถตั้งราคาสูงได้


การแข่งขันกับกุ้งจากเอกวาดอร์และอินเดียทำให้ไทยต้องรักษาคุณภาพเพื่อสร้างความแตกต่าง


Cr.ภาพ มติ cp

ทีมกุ้งไทย รายงาน