เรื่องเด่น

   เมื่อ : 19 ส.ค. 2568

เมื่อวันที่ 18–19 ส.ค. 2568 กรมประมง นำโดย นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง พาสื่อมวลชนลงพื้นที่ ติดตามการผลิต “กุ้งก้ามกราม” สัตว์น้ำเศรษฐกิจมูลค่าสูงกว่า 8700 ล้านบาท ที่กำลังสร้างชื่อเสียงและรายได้ให้เกษตรกรไทย

ทีมงาน ”กุ้งไทย” ได้เยี่ยมชมตั้งแต่ศูนย์วิจัยเพชรบุรี ฟาร์มเกษตรกรต้นแบบ จ.ราชบุรี ไปจนถึงโรงงานแปรรูป จ.สมุทรสาคร พร้อมโชว์ มาตรฐานการผลิตครบวงจร (From Farm to Table) ที่ยกระดับกุ้งก้ามกรามไทยสู่ตลาดโลก ไฮไลท์คือ “ต้มยำกุ้ง” อาหารมรดกโลกของยูเนสโก ที่ใช้กุ้งก้ามกรามไทยเป็นวัตถุดิบหลัก สะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นไทย และสร้างความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ

กรมประมงยังเดินหน้าพัฒนา พันธุ์กุ้งก้ามกราม “มาโคร 1” โตไว แข็งแรง ปลอดโรค ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต พร้อมขยายตลาดส่งออกไปจีน เมียนมา สหรัฐฯ และตะวันออกกลาง ปัจจุบันไทยมีฟาร์มเพาะเลี้ยงขึ้นทะเบียนกว่า 12700 แห่ง ผลผลิตปีละ 42000 ตัน มูลค่า 8.7 พันล้านบาท ถือเป็นความภาคภูมิใจของเกษตรกรและคนไทยทั้งประเทศ “กุ้งก้ามกรามไทย” ไม่ใช่แค่อาหาร แต่คือ ความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจไทย

สถานการณ์ผลผลิตและตลาดในปัจจุบันของกุ้งก้ามกราม

สถานการณ์การผลิตกุ้งก้ามกรามในปี 2567 มีฟาร์มเพาะเลี้ยงจำนวน 12763 ฟาร์ม เนื้อที่เลี้ยง 125476 ไร่ มีปริมาณผลผลิต 42643 ตัน นับเป็นมูลค่า 8701.8 ล้านบาท มีแหล่งเลี้ยงกุ้งก้ามกรามที่สำคัญอยู่ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม จังหวัดราชบุรี จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นต้น จากฟาร์มเพาะเลี้ยงจำนวน 12763 ฟาร์ม พบว่ามีฟาร์มที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดี (GAP) จำนวน 880 ฟาร์ม (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567) คิดเป็นเพียงร้อยละ 6.9 ของจำนวนฟาร์มเลี้ยงกุ้งก้ามกรามทั้งหมด เพื่อพัฒนาคุณภาพของกุ้งก้ามกรามที่บริโภคในประเทศ และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ จึงเป็นภารกิจสำคัญของกรมประมง ที่จะเข้าไปอบรมให้ความรู้กับฟาร์มอื่น ๆ เพื่อผลักดันสู่การได้รับมาตรฐาน(GAP) ต่อไปในอนาคต

สำหรับราคากุ้งก้ามกรามที่เกษตรกรขายได้หน้าฟาร์ม เฉลี่ย ปี 2567 แบ่งตามเพศและขนาด คือ เพศผู้ขนาด 8-10 ตัว/กก. 11-13 ตัว/กก. 14-16 ตัว/กก. และ 18-20 ตัว/กก. ราคาโดยเฉลี่ยกิโลกรัมละ 335 264 229 และ 194 บาท ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กุ้งก้ามกรามเพศผู้ขนาด 8-10 ตัว/กก. 11-13 ตัว/กก. 14-16 ตัว/กก. ราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.4 1.9 และ 0.4 ตามลำดับ ส่วนขนาด 18-20 ตัว/กก. ไม่มีการเปลี่ยนแปลง สำหรับเพศเมียขนาด 20-30 ตัว/กก. 30-35 ตัว/กก. และ 35-40 ตัว/กก. ราคาโดยเฉลี่ยกิโลกรัมละ 172 148 และ 125 บาท ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนกุ้งก้ามกรามเพศเมียทุกขนาด ราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.8 2.8 และ 1.6 ตามลำดับ

ราคากุ้งก้ามกรามมีชีวิตขายส่งเฉลี่ย ณ ตลาดไท ปี 2567 แบ่งตามขนาด คือ ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 354 266 และ 221 บาท ตามล าดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กุ้งก้ามกรามทุกขนาดราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.5 4.6 และ 10.7 ตามลำดับการส่งออกกุ้งก้ามกรามและผลิตภัณฑ์ของไทยไปยังตลาดต่างประเทศ ปี 2568 ในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน มีปริมาณ 4206 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 535 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 มีปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น 425 ตัน และมูลค่าเพิ่มขึ้น 124 ล้านบาท ตลาดหลักที่มีมูลค่าการส่งออกกุ้งก้ามกรามมากที่สุดของไทยในปี 2568 เดือนมกราคม-มิถุนายน คือ เมียนมา 3065 ตัน รองลงมาได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มาเลเซีย และอื่น ๆ ซึ่งเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยการส่งออกไปยังประเทศ เมียนมา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จีน และมาเลเซียและอื่นๆ มีปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น 11.24 และมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 29.7 


กุ้งก้ามกรามสายพันธุ์  “มาโคร 1”


ประวัติความเป็นมาของสายพันธุ์

-มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า   (Macrobrachium rosenbergii De Man1879)

         -เป็นสัตว์น้ำไม่มีกระดูกสันหลังที่อยู่ในวงศ์ Palaemonidae

         -มีถิ่นอาศัยตามแม่น้ำหรือแหล่งน้ำจืดที่ไหลลงสู่ทะเล

         -โตเต็มวัยมีขนาดใหญ่ (ตัวผู้โตเร็วกว่าและมีขนาดใหญ่กว่า)


การเพาะเลี้ยงในประเทศไทย

-มีการเพาะเลี้ยงมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500

-ในปี พ.ศ. 2513 เริ่มมีการเพาะเลี้ยงในสภาพกักขัง

-พบปัญหาเรื่องการเจริญเติบโตไม่สม่ำเสมอ จึงมีการปรับปรุงพันธุ์เพื่อพัฒนาสายพันธุ์ที่มีคุณภาพ

จุดเด่นของกุ้งก้ามกรามสายพันธุ์ ”มาโคร 1”

  1. ปลอดเชื้อโรค MrNV และ XSV
  2. อัตราการเจริญเติบโตเร็วขึ้น 5 - 15% เมื่อเทียบกับพันธุ์เดิม
  3. ผลผลิตสูง:
  4. ในการอนุบาลช่วงต้น: ความหนาแน่น 50000 - 100000 ตัว/ไร่ อายุ 75-90 วัน น้ำหนัก 5-7 กรัม/ตัว (140-180 ตัว/กก)
  5. การเลี้ยงระยะยาว (90-120 วัน):
  6. ความหนาแน่น 5000 - 8000 ตัว/ไร่
  7. น้ำหนัก 50 - 60 กรัม (18 - 20 ตัว/กก)
  8. ให้ผลผลิตและอัตรารอดสูง
  9. มีอัตราแลกเนื้อ 1.2 - 1.5

การคัดเลือกกุ้งก้ามกราม “มาโคร 1”

ใช้วิธีคัดเลือกแบบภายในครอบครัว (within family selection) เป็นการคัดเลือกโดยดูจากลักษณะภายนอกที่สนใจ โดยคัดเลือกกุ้งที่มีลักษณะที่ดีที่สุดของแต่ละครอบครัว เพื่อให้เป็นพ่อแม่พันธุ์ในการสร้างประชากรกุ้ง

รุ่นต่อไป โดยมีการควบคุมอัตราการผสมเลือดชิดโดยการผสมข้ามระหว่างครอบครัว

         สถาบันวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ ได้ดำเนินการปรับปรุงพันธุ์กุ้งก้ามกราม ตั้งแต่ปี 2541 โดยใช้ประชากรกุ้งก้ามกรามจากฟาร์มเลี้ยง จังหวัดราชบุรี จำนวน 50 คู่ เป็นประชากรเริ่มต้น ทำการปรับปรุงพันธุ์

ในลักษณะการเจริญเติบโต คัดเลือกกุ้งที่มีอัตราการเจริญเติบโตเร็วที่สุดมาเป็นพ่อแม่พันธุ์ในการสร้างประชากร

รุ่นต่อไป ใช้วิธีคัดเลือกแบบภายในครอบครัว จำนวน 3 รุ่น ได้กุ้งสายพันธุ์ “สพก.” ที่มีอัตราการเจริญเติบโตดีกว่า

กุ้งประชากรควบคุม และกุ้งสายพันธุ์เดิมที่เกษตรกรใช้ กองวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำได้ดำเนินการปรับปรุงพันธุ์เพิ่มเติมจนถึงปี 2559 ได้ขอตั้งชื่อว่ากุ้งก้ามกราม “มาโคร 1” โดยมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น 5 - 15%

จากกุ้งสายพันธุ์เดิม โดยที่กุ้งเพศผู้และเพศเมียมีขนาดใกล้เคียงกัน


ข้อมูลโดย : กรมประมง