เรื่องเด่น

   เมื่อ : 14 ธ.ค. 2568

4 ความลับจาก ”นายกชาลี” ที่ชี้ว่า ”โปรตีนสูง” อาจไม่ใช่คำตอบ

ชาลี จิตรประสงค์ ประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้งฉะเชิงเทรา



เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งหลายท่านคงคุ้นเคยกับวงจรปัญหาเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาดซ้ำซากอย่างโรคขี้ขาว ต้นทุนที่สูงขึ้นจากการใช้ยาและสารเคมี ไปจนถึงความรู้สึกที่ว่ากำลังวิ่งไล่แก้ปัญหาไม่รู้จบ แต่จะดีกว่าไหมถ้าทางออกไม่ได้อยู่ที่ยาตัวใหม่ แต่อยู่ที่การเปลี่ยนมุมมองเรื่อง ”อาหาร” ที่เราให้อยู่ทุกวัน


นี่คือแนวคิดที่ตกผลึกจากประสบการณ์ตรงของ คุณชาลี จิตรประสงค์ ประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้งฉะเชิงเทรา ผู้ซึ่งนำหลักการเหล่านี้ไปปรับใช้จนทำให้การรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่สาริกาฟาร์มกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ท่านชี้ว่าการแก้ปัญหาที่ต้นตออย่างแท้จริงนั้นเรียบง่ายกว่าที่คิด ขอสรุป 4 ความลับสำคัญที่อาจเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงกุ้งของคุณไปตลอดกาล



1. หยุดวิ่งไล่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ: ตัวร้ายที่แท้จริงคือ ”โปรตีนส่วนเกิน”


เมื่อคุณภาพน้ำเริ่มแย่หรือกุ้งเริ่มป่วย สิ่งแรกที่เกษตรกรส่วนใหญ่มักทำคือการใช้ยาฆ่าเชื้อ สารเคมีควบคุมแอมโมเนีย/ไนไตรท์ หรือหายามารักษากุ้งโดยตรง ซึ่งทั้งหมดนี้คือ ”การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ” เป็นเพียงการจัดการกับอาการที่ปรากฏ แต่ไม่ได้กำจัดต้นตอที่แท้จริง


คุณชาลีชี้ว่าต้นตอของปัญหาส่วนใหญ่ในบ่อกุ้งมาจากสิ่งเดียวกัน นั่นคือ โปรตีนส่วนเกินจากอาหารที่กุ้งย่อยไม่หมด โปรตีนที่เหลือตกค้างเหล่านี้จะกลายเป็นอาหารชั้นดีให้กับแบคทีเรียก่อโรค (เช่น Vibrio) ทำให้เชื้อโรคเติบโตอย่างรวดเร็วและย้อนกลับมาทำร้ายกุ้งในที่สุด


”ต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดคือโปรตีนที่เหลือจากกระบวนการย่อยของกุ้ง”



2. เข้าใจธรรมชาติกุ้ง: ระบบย่อยอาหารแบบ ”กินปากออกตูด”


การจัดการอาหารให้ถูกต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจชีววิทยาที่เป็นเอกลักษณ์ของกุ้ง ระบบย่อยอาหารของกุ้งนั้นแตกต่างจากปลาอย่างสิ้นเชิง กุ้งมีทางเดินอาหารเป็นท่อตรง สั้น และไม่มีกระเพาะอาหาร ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับปลาที่มีกระเพาะขนาดใหญ่สำหรับพักและย่อยอาหาร หรือที่เรียกง่ายๆ ว่าเป็นระบบแบบ ”กินปากออกตูด”


ผลที่ตามมาโดยตรงคืออาหารจะเดินทางผ่านระบบย่อยของกุ้งอย่างรวดเร็วมาก (ประมาณ 5 นาที) และที่สำคัญ การให้อาหารมากเกินไป (”อาหาร error”) จะยิ่งเร่งให้กระบวนการนี้เร็วขึ้นไปอีก (อาจเหลือเพียง 3-4 นาที) ทำให้กุ้งมีเวลาไม่เพียงพอที่จะย่อยและดูดซึมโปรตีนไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ



ท้ายที่สุด ความไร้ประสิทธิภาพนี้ส่งผลให้มีโปรตีนที่ไม่ถูกย่อยถูกขับออกมากับของเสียในปริมาณมาก กลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่ไปกระตุ้นวงจรของโรคระบาดตามที่กล่าวไว้ในข้อแรก



3. ”กฎทอง” ของการให้อาหาร: ปริมาณที่แม่นยำคือหัวใจ


เมื่อเข้าใจปัญหาแล้ว กลยุทธ์ที่นำไปปฏิบัติได้ทันทีคือการควบคุมปริมาณอาหารให้แม่นยำ โดยคุณชาลีได้ให้เกณฑ์มาตรฐานที่ชัดเจนไว้ว่า:


ให้อาหารในปริมาณ 25-30 กิโลกรัม ต่อกุ้ง 1 ตัน (Biomass) ต่อวัน


วิธีการคำนวณนั้นมี 3 ขั้นตอนง่ายๆ: 1) ประเมินจำนวนกุ้งทั้งหมดในบ่อ 2) ประเมินน้ำหนักเฉลี่ยของกุ้ง และ 3) คำนวณน้ำหนักรวมของกุ้ง (Biomass) เพื่อนำไปใช้กับกฎ 25-30 กิโลกรัมต่อตัน ตัวอย่างเช่น หากประเมินว่าในบ่อมีกุ้งน้ำหนักรวม 800 กิโลกรัม ปริมาณอาหารที่ควรให้ต่อวันก็ไม่ควรเกิน 20-24 กิโลกรัม


แม้ว่าวิธีนี้อาจทำให้กุ้งโตช้าลงเล็กน้อย แต่ประโยชน์ที่ได้กลับมานั้นคุ้มค่ามหาศาล เพราะความเสี่ยงในการเกิดโรค โดยเฉพาะโรคขี้ขาวจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากกุ้งสามารถนำโปรตีนที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ได้เกือบทั้งหมด ทำให้มีของเสียโปรตีนส่วนเกินน้อยที่สุด



4.. ปฏิวัติคุณภาพอาหาร: เลิกแข่ง ”โปรตีนสูง” หันมาแข่ง ”โปรตีนที่ย่อยได้”


ถึงเวลาทบทวนความเชื่อเดิมๆ ที่ว่า ”ยิ่งโปรตีนสูงยิ่งดี” คุณชาลีเสนอว่าอุตสาหกรรมอาหารกุ้งควรเปลี่ยนจุดสนใจจากการแข่งขันเรื่องเปอร์เซ็นต์โปรตีนสูง มาเป็นการแข่งขันที่ ”โปรตีนที่เหมาะสม” (Appropriate Protein)



มาตรฐานใหม่ของคุณภาพอาหารควรวัดกันที่ ประสิทธิภาพการย่อย (Digestibility) กล่าวคือ อาหารที่ดีที่สุดคืออาหารที่เมื่อกุ้งกินเข้าไปแล้ว จะเหลือโปรตีนตกค้างในของเสียน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกจากนี้ ควรคำนึงถึงสายพันธุ์กุ้งด้วย เพราะกุ้งกุลาดำ (Black Tiger Shrimp) มีระบบย่อยที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ซึ่งเห็นได้จากโครงสร้างตับที่สมบูรณ์และความสามารถในการแปรรูปและเก็บสะสมสารอาหารที่ดีกว่า ตรงกันข้ามกับกุ้งขาว (White Shrimp) ซึ่งมีงานวิจัยชี้ว่าต้องการโปรตีนไม่เกิน 30%


เพื่อสร้างความโปร่งใสให้เกษตรกร จึงมีข้อเสนอให้หน่วยงานกลางที่น่าเชื่อถือ เช่น กรมประมง หรือ สวทช. เข้ามาทำหน้าที่ทดสอบและรับรองประสิทธิภาพการย่อยของอาหารแต่ละยี่ห้อ เพื่อเป็นข้อมูลให้เกษตรกรใช้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง



บทสรุป


เส้นทางสู่การเลี้ยงกุ้งที่ยั่งยืนอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับการใช้ยาหรือสารเคมีที่ซับซ้อน แต่อยู่ที่การเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ มาสู่การป้องกันที่ต้นตอ นั่นคือการจัดการ ”โปรตีนส่วนเกิน” อย่างมีประสิทธิภาพ และแม้ว่าบทความนี้จะเน้นเรื่องอาหาร แต่นายกชาลีได้ย้ำว่านี่คือหนึ่งในสองเสาหลักสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน โดยอีกเสาหลักหนึ่งคือการประกันคุณภาพของลูกกุ้ง ซึ่งต้องสะอาดและปลอดจากโรคอย่าง EHP


ถึงเวลาแล้วหรือยังที่อุตสาหกรรมกุ้งไทยจะเปลี่ยนคำถามจาก ”จะใช้ยาอะไรดี?” ไปเป็น ”เราจะจัดการอาหารให้ดีที่สุดได้อย่างไร?”